Fayde |
________________________________________________________________________________________
แนะนำฮีโร่ Fayde
Fayde คือฮีโร่อันดับต้นๆในบรรดาฮีโร่ทั้งหมดของ HoN ที่ขึ้นชื่อว่า"หลอน"ที่สุด มันเป็นหน่วยลอบสังหารตัวฉกาจที่สามารถปลิดชีพศัตรูได้อย่างแยบยลจนบางทีเพื่อนร่วมเลนของเหยื่อยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเพื่อนร่วมทีมของตัวเองหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้วยความสามารถในการย่องเข้าหาเหยื่อได้เสมือนว่ามัน"ไม่มีตัวตน"ไปพร้อมๆกับเปิดระยะการมองเห็นรอบตัวแบบ clear vision(มองเห็นทะลุสิ่งบดบัง) ทำให้ Fayde เป็นฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในด้านการลาดตระเวนพื้นที่เพื่อมองหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย และเมื่อผสานเข้ากับความสามารถในการสร้างความเสียหายทางเวทย์มนต์แก่ศัตรูด้วยความรุนแรงที่เกือบจะเทียบเท่าฮีโร่ nuker ของมันรวมทั้งความสามารถในการ disable ศัตรูด้วย slow และ stun ทำให้ Fayde เป็นสุดยอด ฮีโร่ AGI ganker ที่จะสามารถสร้างโอกาสในการปลิดชีพเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย และการที่มันสามารถสร้าง DPS ได้ค่อนข้างสูงด้วยตัวของมันเองก็ยังทำให้มันสามารถออกล่าเหยื่อที่อ่อนแอได้เพียงลำพัง ผมเชื่อว่าในบรรดาแมทช์ที่คุณเล่นมาทั้งหมด คุณต้องเคยพบกับความหลอน ความกดดัน และความหวาดระแวงที่ก่อตัวขึ้นเมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับฮีโร่ที่มีชื่อว่า Fayde... และบัดนี้... ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ที่หวาดกลัวเงามืด... สู่เงามืดที่น่าหวาดกลัว...
เนื่องจาก Fayde มีสกิล Burning Shadows(สกิล 2) ซึ่งสามารถใช้ stun ศัตรูได้เป็นเวลาค่อนข้างนาน(ที่สกิลเลเวล 1 stun นาน 1.6 วินาที และจะเพิ่มขึ้นอีก 0.3 วินาทีทุกๆเลเวลสกิลทีเพิ่มขึ้น) ในช่วงต้นเกมมันจึงสามารถอยู่ที่เลนใดก็ได้ หากคุณอยู่เลนกลาง คุณจะสามารถกดดันศัตรูที่คุณเผชิญหน้าได้อย่างหนักด้วยการสร้างความเสียหายด้วยการคอมโบกันระหว่างสกิล 2 และสกิล Cull(สกิล 1) อีกทั้งจะทำให้คุณควบคุม rune ได้สะดวกกว่าการอยู่เลนข้าง แต่ถ้าคุณอยู่เลนข้าง ด้วย 2 สกิลข้างต้นก็จะทำให้คุณสามารถกดดันศัตรูได้อย่างหนักเช่นเดียวกัน ยิ่งถ้าคุณร่วมเลนกับฮีโร่ที่มี DPS สูงๆในช่วงต้นเกมหรือมีสกิล disable อีกซักสกิลสองสกิลอย่างเช่น Glacius หรือ Monarch ก็ยิ่งทำให้คุณมีโอกาสจัดการเป้าหมายได้ง่ายขึ้นไปอีก เนื่องจากสกิล 2 มีการแสดงผลเป็นเส้นตรง(line)ที่ค่อนข้างกว้างและไกล ในการใช้สกิลนี้เพื่อเปิดการปะทะ คุณจึงควรหามุมที่จะทำให้สกิลนี้แสดงผลได้อย่างเต็มที่ หรือก็คือให้คุณพยายามใช้สกิลให้โดนฮีโร่ของศัตรูให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ซึ่งโดยมากแล้วจังหวะที่ควรจะใช้สกิลนี้ก็จะเป็นจังหวะที่ศัตรูอยู่ติดกันเป็นกลุ่ม หรือยืนเรียงแถวกันเป็นเส้นตรง ทันทีที่คุณได้สกิล Reflection(สกิล ulti) มาไว้ในครอบครอง... ความมืดจะคืบคลาน... แสงสว่างจะริบหรี่... ความสิ้นหวังโอบล้อมไพรี... พรากชีวีหลุดวิญญาณ... (แต่งกลอนทำห่านอะไรฟะ!?) ในการใช้สกิลนี้เพื่อย่องเข้าไปเปิดการปะทะในช่วงเลเวล 6-11 (สกิล ulti เลเวล 1) อันดับแรกให้คุณมองหาเป้าหมายที่คุณต้องการสังหารเสียก่อน(โดยเฉพาะตัว carry ของฝ่ายตรงข้าม) จากนั้นไปที่เลนนั้นด้วย Homecoming Stone หรือจะเดินไปก็ได้(แต่การเดินไปที่เลนอื่นก็อาจจะทำให้การ gank ล้มเหลวหากฝ่ายตรงข้ามปัก ward เอาไว้ ดีไม่ดีคุณจะถูกดักตีหัวเอาด้วย ถ้าคุณไม่อยากเสียเงินค่า Homcoming Stone จริงๆก็ให้คุณเดินอ้อมจุดที่คาดว่าศัตรูจะปัก ward เอาไว้ก็แล้วกัน) เมื่อถึงเลนที่เป้าหมายสถิตอยู่ก็อย่าเพิ่งโผล่หน้าเข้าไปแนะนำตัว ให้คุณรอจังหวะก่อน(เรื่องจังหวะนี่ไม่รู้จะบอกยังไงเพราะมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคุณเอง เอาเป็นว่าง่ายที่สุดคือ รอจังหวะที่ศัตรูอยู่ไกลจากป้อมในเลนนั้นก็แล้วกัน) เมื่อคุณเห็นว่าได้จังหวะแล้ว ให้คุณใช้สกิล ulti ทันที และใช้ความสามารถในการเปิดการมองเห็นแบบ clear vision ของสกิลให้เป็นประโยชน์ด้วยการตรวจพื้นที่ดูให้แน่ใจว่าไม่มีศัตรูจำนวนมากไปกว่าที่คุณเห็นอยู่ในบริเวณนั้น(ไม่อย่างนั้นคุณอาจโดนสวนกลับเอาได้) เมื่อแน่ใจแล้ว ก็จัดการเปิดการปะทะด้วยการโจมตีในขณะที่มีผลของสกิล ulti ตามด้วยการ stun จากสกิล 2(อย่าลืมว่าพยายามใช้ให้โดนฮีโร่ของศัตรูให้ได้มากที่สุด หากในบริเวณนั้นมีฮีโร่ของศัตรูมากกว่าหนึ่งตัว) และปิดฉากด้วยสกิล 1(ถ้าศัตรูมีมากกว่า 1 ตัวก็ใช้สกิลให้โดนศัตรูให้ได้มากที่สุดเช่นกัน) เพียงแค่การคอมโบกันของทั้ง 3 สกิลนี้ คุณจะสามารถสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายได้ราวๆ 600 หน่วยหากคุณมีเลเวล 6 (แต่หากลบการต้านทานเวทย์พื้นฐานไป จะเหลือประมาณ 400 หน่วยต้นๆ) ซึ่งถือว่ารุนแรงมากในช่วงต้นเกม และด้วยความรุนแรงในระดับนี้จะทำให้โอกาสที่คุณจะสามารถสังหารเป้าหมายได้ในการ gank มีค่อนข้างสูง หรือถ้าคุณอยากจะโชว์เดี่ยวก็ได้เช่นกันถ้ามีศัตรูที่มี HP เหลือประมาณ 400-500 หน่วยและอยู่ในเลนคนเดียว ตั้งแต่เลเวล 6 เป็นต้นไป รูปแบบการเล่นของคุณคือ "gank & push" หรือก็คือ "gank ให้สำเร็จ แล้วรีบทำลายป้อมในเลนนั้น" ด้วยสกิล 1 จะทำให้คุณสามารถเคลียร์ฝูงครีปของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการทำลายป้อมของฝ่ายตรงข้ามให้ได้เร็วที่สุดตั้งแต่เนิ่นๆก็จะทำให้พื้นที่ที่ปลอดภัยของศัตรูมีน้อยลง หรือก็คือศัตรูจะฟาร์มได้ลำบากขึ้นนั้่นเอง อีกทั้งการลดจำนวนป้อมของศัตรูลงก็ยังทำให้คุณลอบสังหารศัตรูด้วยสกิลที่คุณมีอยู่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ในช่วงท้ายเกม สกิล ulti(เลเวล 3) จะมีเวลาการแสดงผลนานถึง 50 วินาที และมี cooldown เพียง 60 วินาที นั่นหมายความว่าหากคุณใช้สกิลนี้และไม่ได้ทำการจู่โจมศัตรูในระหว่างที่สกิลแสดงผลจนถึงวินาทีที่ 50 อีกเพียงแค่ 10 วินาทีเท่านั้น คุณก็จะสามารถใช้สกิลนี้ได้อีกครั้ง และด้วยการแสดงผลที่นานเกือบหนึ่งนาทีนี้เองทำให้คุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะมองหาเหยื่อหรือจับตาดูการเคลื่อนไหวของศัตรู(แล้วจะจู่โจมเหยื่อเอง หรือเรียกเพื่อมาช่วยยำก็แล้วแต่คุณ) นอกจากสกิลทั้งหลายของคุณจะสามารถใช้ในการ gank และการล่าได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ในการปะทะหมู่มันก็ยังสามารถสร้างความปั่นป่วนแก่ศัตรูได้อย่างสาหัสเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสกิล 1 ที่สามารถ burn มานาของศัตรูได้ถึง 28% ของมานาสูงสุด การ stun 2.5 วินาทีของสกิล 2 และการ slow ศัตรูเป็นวงกว้างถึง 30% ของสกิล Deep Shadows(สกิล 3) แต่จริงๆแล้ว เกือบทุกเกมที่มี Fayde อยู่ เกมมันมักจะจบไปก่อนจะถึงช่วงท้ายเกมแล้วอ่ะนะ...
แบบที่ 1 : เหมาะกับรูปเกมทั่วๆไป ด้วยการอัพแบบนี้จะทำให้คุณสร้างความเสียหายได้มากที่สุดในช่วงต้นเกมเนื่องจากเน้นไปที่การอัพสกิล 1 และสกิล 2 เป็นหลัก
แบบที่ 2 : เหมาะกับเกมที่เพื่อนร่วมทีม/ร่วมเลนของคุณสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างหนักหน่วงพออยู่แล้ว การเน้นไปที่การอัพสกิล 2 ให้เต็มก่อนจะทำให้คุณสามารถทำ stun ได้เป็นเวลานานเพื่อให้เพื่อนร่วมทีมของคุณสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุดในระหว่างที่ศัตรูติด stun และคุณยังสามารถสร้างความเสียหายเพิ่มเติมได้ด้วยสกิล 1 อีกทั้งการอัพสกิล 3 ไว้ 1 แต้มตั้งแต่เลเวล 8 ก็ยังทำให้มีความคล่องตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้มันเพื่อ slow ศัตรูได้อีกด้วย
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงไอเทมที่ Fayde จะต้องออก เชื่อว่า 99.99% ของผู้เล่น Fayde จะต้องนึกถึง "Codex" อย่างแน่นอน เนื่องจากสกิลของ Fayde เป็นสกิลที่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างหนักหน่วงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การออกไอเทม Codex จึงเป็นการเสริมจุดแข็งของมันเข้าไปอีก แต่! ใช่ว่าการทุ่มเงินเพื่ออัพเกรด Codex เพียงอย่างเดียวจะเป็นผลดีเสมอไป หากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากพอ เขาย่อมไม่ปล่อยให้คุณจัดการกับฮีโร่ตัวสำคัญ(ตัว carry)ในทีมของเขาได้ง่ายๆแน่ๆ หนำซ้ำถ้าฮีโร่ตัวสำคัญตัวนั้นออก Null Stone มา แม้คุณจะมี Codex เลเวล 5 มันก็แทบจะไร้ค่าเพราะคุณไม่สามารถจบชีวิตของฮีโร่ตัวนั้นได้ด้วยคอมโบสกิลและ Codex อีกแล้ว หากคุณบอกว่า"อ้าว!? ฆ่าตัว carry ไม่ได้ก็ไปฆ่าตัวอื่นแทนสิ!" ลองคิดดูสิครับว่าคอมโบของคุณจะจัดการฮีโร่ตัวไหนได้อีกบ้าง ตัวเลือกมันก็จะมีเพียงแค่ตัว support หรือ caster ของฝ่ายตรงข้าม(ที่ไม่ได้ออก Null Stone)เท่านั้น และโดยปกติแล้วฮีโร่สองประเภทนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว support จะมี GPM(Gold per Minute) ที่ต่ำอยู่แล้ว ถึงคุณจะฆ่าฮีโร่เหล่านั้นได้และได้เงินมา มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อรูปเกมมากนัก อีกทั้งกว่าที่คุณจะฆ่าเป้าหมายได้สำเร็จ ตัว carry ของฝ่ายตรงข้ามก็ฟาร์มเก็บเงินไปได้มากกว่าที่คุณได้มากจากแต้ม kill แล้วล่ะ สู้คุณเอาเงินไปออกไอเทมที่เพิ่มความสามารถด้านการโจมตีหรือไอเทมป้องกันตัวเองเพื่อรับมือหากเกมดำเนินมาถึงช่วงท้ายเกมเสียยังดีกว่า(ทั้งหมดนี่ไม่ได้แปลว่าการอัพเกรด Codex ไม่ดีนะ แต่ในบางเกม แค่ Codex เลเวล 1 ก็เพียงพอสำหรับการล่าในช่วงต้นเกมถึงกลางเกมแล้ว)
- คุณอาจจะออก Portal Key เพื่อให้คุณสามารถเปิดการปะทะได้อย่างฉับพลันได้ด้วยการ stun จากสกิล 2 และยังมีสกิล ulti เหลือเพื่อใช้ในการหลบหนีจากวงปะทะหากจำเป็น
- คุณอาจจะออก Ghost Marchers เพื่อให้คุณทำความเสียหายจากการโจมตีได้สูงสุดในขณะที่ศัตรูติด stun จากสกิล 2
- คุณอาจจะออก Codex เพื่อจบชีวิตศัตรูได้ด้วยสุดยอดคอมโบพิฆาตมาร
- คุณอาจจะออก Spellshards เพื่อให้สกิลของคุณรุนแรงขึ้นด้วยผลจากการลบเกราะเวทย์ และใช้ได้บ่อยครั้งขึ้นจากผลจากการลด cooldown
- คุณอาจจะออก Harkon's Blade, Frostburn, Wingbow, Savage Mace, Riftshards เพื่อสร้าง DPS จากการโจมตีให้เป็นอนันต์
- คุณอาจจะออก Null Stone เพื่อไม่ให้ใครสามารถหยุดคุณได้
- คุณอาจจะออกอะไรก็ได้ เพราะทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับคุณ!
- หากมีศัตรูมากกว่า 1 ตัวในการปะทะ ให้คุณพยายามใช้สกิล Cull(สกิล 1) และสกิล Burning Shadows(สกิล 2) ให้โดนศัตรูให้ได้มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีในแง่ของการสร้างความเสียหายแล้ว การใช้สกิล 1 โดนศัตรูเป็นจำนวนมากยังเป็นการลดความสามารถของศัตรูจากผลของการ burn มานา และมันยังทำให้คุณดูดมานาของศัตรูมาได้มากขึ้นด้วย(ที่สกิลเลเวล 4 สามารถ burn มานาของศัตรูแต่ละตัวได้มากถึง 28% จากมานาสูงสุด และนำครึ่งนึงของมานาที่คุณ burn ได้ทั้งหมดนั้นมาเพิ่มให้กับตัวเอง เช่นถ้าคุณ burn มานาของศัตรูได้ทั้งหมด 300 หน่วย คุณก็จะฟื้นฟูมานาได้ 150 หน่วย เป็นต้น)
- จากความสามารถของสกิล 1 ในข้อข้างบน สกิลนี้จึงเป็นสกิลดับอนาคตของเหล่าฮีโร่ caster(ฮีโร่ที่เน้นการใช้สกิลเป็นหลัก) ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพยายามใช้สกิลให้โดนฮีโร่เหล่านั้นในการปะทะด้วย
- นอกจากสกิล 2 จะสามารถ stun และทำความเสียหายแก่ศัตรูได้แล้ว หากศัตรูที่โดนสกิลนั้นมีสกิล passive ที่จะสร้าง effect/debuff ใดๆต่อผู้ที่ถูกโจมตี เช่น Magebane(มีสกิล Mana Combustion เป็นสกิล passive ซึ่งมีผล burn มานาผู้ที่ถูกโจมตี), Tremble(มีสกิล Impalers เป็นสกิล passive ซึ่งมีผล slow ผู้ที่ถูกโจมตีเป็นระยะเวลา 2 วินาที) หรือ Slither(มีสกิล Toxicity เป็นสกิล passive ซึ่งมีผลทำให้อัตราการฟื้นฟู HP ของผู้ที่ถูกโจมตีลดลงเป็นระยะเวลา 7 วินาที) ศัตรูเหล่านั้นก็จะโดนผลจากสกิล passive ของตัวเองไปด้วยในขณะที่ติด stun จากสกิล 2 ของคุณ หรือก็คือหากคุณใช้สกิล 2 โดน Magebane มันก็จะถูก burn มานาด้วยสกิล passive ของตัวเอง หากใช้โดน Tremble มันก็จะถูก slow เป็นเวลา 2 วินาทีหลังจากที่หมด stun ด้วยสกิล passive ของมันเอง หรือหากใช้โดน Slither อัตราการฟื้นฟู HP ของมันก็จะลดลงเป็นระยะเวลา 7 วินาทีจากผลของสกิล passive ของมันเอง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม effect/debuff ที่ศัตรูจะได้รับนี้จะต้องมาจากสกิล passive ของตนเองเท่านั้น ไม่รวมถึง effect/debuff ที่มาจากผลของไอเทมประเภท Attack Modifier หรือก็คือ หากศัตรูที่โดนสกิล 2 ของคุณมีไอเทม Nullfire Blade อยู่ มันก็จะไม่ถูก burn มานาจาก effect ของไอเทมนั่นเอง
- สกิล 2 จะล็อคความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้ตามคำอธิบายของสกิล หรือหมายถึงความเสียหายที่ศัตรูจะได้รับจากสกิลนี้จะไม่มากไปกว่าที่ได้เขียนเอาไว้ นั่นหมายถึงหากคุณมีสกิล 2 เลเวล 4 ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายทางเวทย์มนต์ได้ 280 หน่วย แม้ว่าคุณจะใช้สกิลนี้โดน Swiftblade โดยที่"ร่างเงา"ของสกิลโจมตีติด critical (จากสกิล passive ของ Swiftblade) ในขณะที่มันถูก stun ความเสียหายที่ Swiftblade ได้รับก็จะเท่ากับ 280 หน่วยอยู่ดี หรือหากคุณใช้สกิลโดน Slither แม้ว่ามันจะได้รับ debuff ลดอัตราการฟื้นฟู HP ของมันเอง แต่มันก็จะไม่ได้รับ debuff ที่ทำความเสียหายต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วินาทีจากผลของสกิล passive ของมัน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสกิล 2 ของคุณได้ถูกล็อคค่าเอาไว้แล้ว และศัตรูจะไม่ได้รับความเสียหายมากไปกว่านั้นด้วยผลของสกิล
- เนื่องจากสกิล 2 เป็นสกิลที่แสดงผลบนพื้นที่ คุณจึงสามารถใช้มันเพื่อ stun และสร้างความเสียหายแก่ศัตรูที่มีสถานะหายตัวที่คุณพอจะเดาตำแหน่งมันได้ และหากคุณใช้โดนศัตรูที่กำลังหายตัวอยู่ ร่างเงาที่เกิดจากผลของสกิลก็จะระบุตำแหน่งปัจจุบันของศัตรูตัวนั้นด้วย
- ในบางครั้ง เมื่อคุณใช้สกิล 2 โดนศัตรู "ร่างเงา"จากผลของสกิล 2 อาจจะบังศัตรูที่เป็นเหยื่อของคุณจนทำให้คุณไม่สามารถใช้เคอร์เซอร์ของคุณจิ้มลงไปที่ศัตรูได้(จิ้มไปก็ติดร่างเงา) ซึ่งนั่นจะทำให้คุณไม่สามารถสั่งโจมตีหรือใช้ไอเทมที่ต้องจิ้มไปที่เป้าหมาย(อย่าง Codex)ได้ และนั่นก็อาจทำให้เหยื่อของคุณหลุดรอดไปหากมันมีสกิลหายตัวหรือสกิลย้ายตำแหน่ง วิธีแก้ปัญหาคือ ให้คุณกด A แล้วจิ้มไปที่บริเวณใกล้ๆเหยื่อตัวนั้น แล้วตัวคุณจะทำการโจมตียูนิตที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ(โจมตีได้ซักทีสองทีก็ยังดีกว่ายืนรอเฉยๆ)
- นอกจากสกิล Deep Shadows(สกิล 3) จะสามารถใช้ slow ศัตรูได้ดีในการปะทะแล้ว คุณยังสามารถใช้มันเพื่อหลบหนีออกมาจากสถานการณ์ฉุกเฉินได้อีกด้วย(หากคุณอยู่ในพื้นที่การแสดงผลของสกิล ความเร็วในการเคลื่อนที่ของคุณจะเพิ่มขึ้น) และตรงจุดนี้เองทำให้คุณสามารถล่าเหยื่อได้ง่ายขึ้นหากศัตรูที่อยู่ร่วมเลนกับเหยื่อของคุณไม่มีสกิลหยุด ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณหมายตา Arachna ไว้ โดยที่ Arachna อยู่ในเลนเดียวกับ Matyr คุณก็สามารถย่องเข้าไปจัดการ Arachna ได้ด้วยคอมโบสกิลของคุณ และหลบหนีออกมาอย่างหน้าตาเฉยด้วยสกิล 3 เนื่องจาก Matyr ไม่มีสกิลที่จะสามารถหยุดคุณได้นั่นเอง
- ด้วยความสามารถในการเดินทะลุต้นไม้ในขณะที่อยู่ในผลของสกิล Reflection(สกิล ulti) มันจึงทำให้คุณปลอดภัยจาก Ward of Revelation หรือแม้แต่ Bound Eye ของศัตรูที่จะเปิดเผยสถานะหายตัวของคุณหากคุณยังอยู่ในต้นไม้ ดังนั้นเพื่อให้เป็นการเซฟตัวเอง ในระหว่างการลาดตระเวน หาเหยื่อ หรืออะไรก็ตามในระหว่างที่คุณอยู่ในผลของสกิล ulti ให้คุณอยู่ในต้นไม้เอาไว้จนกว่าจะได้จังหวะการปะทะจึงค่อยโผล่เข้ามาในพื้นที่โล่งเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งด้วยวิธีการแฝงตัวอยู่ในต้นไม้เป็นผีตานีนี้จะทำให้คุณสามารถลอบสังหารศัตรูที่มี Bound Eye ได้ด้วย(หากคุณแข็งแกร่งพอ และศัตรูไม่ใช่ตัว tank ที่ถึกเป็นวัวเป็นฟาย) โดยให้คุณหลบอยู่ในต้นไม้ รอจังหวะที่ศัตรูที่ถือ Bound Eye นั้นอยู่คนเดียวและอยู่ใกล้ต้นไม้ จากนั้นวิ่งเป้าประชิดตัวมันให้เร็วที่สุด! รีบดับชีพมันด้วยคอมโบบร๊ะเจ้า! แล้วตี Bound Eye ทิ้งซะ! หรือจะเก็บไว้เป็นของสะสมก็ได้!
________________________________________________________________________________________
แนวทางการเล่น Fayde
Cull / Burning Shadows / Deep Shadows / Reflection |
แนวทางการอัพสกิล Fayde
**คุณสามารถพลิกแพลงการอัพสกิลได้เป็นล้านวิธีซึ่งขึ้นอยู่กับรูปเกมและสไตล์การเล่นของคุณเอง
และนี่ก็เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น!**
แบบที่ 1 |
แบบที่ 2 |
แบบที่ 1 : เหมาะกับรูปเกมทั่วๆไป ด้วยการอัพแบบนี้จะทำให้คุณสร้างความเสียหายได้มากที่สุดในช่วงต้นเกมเนื่องจากเน้นไปที่การอัพสกิล 1 และสกิล 2 เป็นหลัก
________________________________________________________________________________________
แนวทางการออกไอเทม Fayde
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงไอเทมที่ Fayde จะต้องออก เชื่อว่า 99.99% ของผู้เล่น Fayde จะต้องนึกถึง "Codex" อย่างแน่นอน เนื่องจากสกิลของ Fayde เป็นสกิลที่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างหนักหน่วงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การออกไอเทม Codex จึงเป็นการเสริมจุดแข็งของมันเข้าไปอีก แต่! ใช่ว่าการทุ่มเงินเพื่ออัพเกรด Codex เพียงอย่างเดียวจะเป็นผลดีเสมอไป หากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากพอ เขาย่อมไม่ปล่อยให้คุณจัดการกับฮีโร่ตัวสำคัญ(ตัว carry)ในทีมของเขาได้ง่ายๆแน่ๆ หนำซ้ำถ้าฮีโร่ตัวสำคัญตัวนั้นออก Null Stone มา แม้คุณจะมี Codex เลเวล 5 มันก็แทบจะไร้ค่าเพราะคุณไม่สามารถจบชีวิตของฮีโร่ตัวนั้นได้ด้วยคอมโบสกิลและ Codex อีกแล้ว หากคุณบอกว่า"อ้าว!? ฆ่าตัว carry ไม่ได้ก็ไปฆ่าตัวอื่นแทนสิ!" ลองคิดดูสิครับว่าคอมโบของคุณจะจัดการฮีโร่ตัวไหนได้อีกบ้าง ตัวเลือกมันก็จะมีเพียงแค่ตัว support หรือ caster ของฝ่ายตรงข้าม(ที่ไม่ได้ออก Null Stone)เท่านั้น และโดยปกติแล้วฮีโร่สองประเภทนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว support จะมี GPM(Gold per Minute) ที่ต่ำอยู่แล้ว ถึงคุณจะฆ่าฮีโร่เหล่านั้นได้และได้เงินมา มันก็ไม่ได้ส่งผลต่อรูปเกมมากนัก อีกทั้งกว่าที่คุณจะฆ่าเป้าหมายได้สำเร็จ ตัว carry ของฝ่ายตรงข้ามก็ฟาร์มเก็บเงินไปได้มากกว่าที่คุณได้มากจากแต้ม kill แล้วล่ะ สู้คุณเอาเงินไปออกไอเทมที่เพิ่มความสามารถด้านการโจมตีหรือไอเทมป้องกันตัวเองเพื่อรับมือหากเกมดำเนินมาถึงช่วงท้ายเกมเสียยังดีกว่า(ทั้งหมดนี่ไม่ได้แปลว่าการอัพเกรด Codex ไม่ดีนะ แต่ในบางเกม แค่ Codex เลเวล 1 ก็เพียงพอสำหรับการล่าในช่วงต้นเกมถึงกลางเกมแล้ว)
**นี่เป็นเพียง"แนวทาง"เท่านั้น**
- คุณอาจจะออก Bottle เพื่อให้คุณ gank ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเกม- คุณอาจจะออก Portal Key เพื่อให้คุณสามารถเปิดการปะทะได้อย่างฉับพลันได้ด้วยการ stun จากสกิล 2 และยังมีสกิล ulti เหลือเพื่อใช้ในการหลบหนีจากวงปะทะหากจำเป็น
- คุณอาจจะออก Ghost Marchers เพื่อให้คุณทำความเสียหายจากการโจมตีได้สูงสุดในขณะที่ศัตรูติด stun จากสกิล 2
- คุณอาจจะออก Codex เพื่อจบชีวิตศัตรูได้ด้วยสุดยอดคอมโบพิฆาตมาร
- คุณอาจจะออก Spellshards เพื่อให้สกิลของคุณรุนแรงขึ้นด้วยผลจากการลบเกราะเวทย์ และใช้ได้บ่อยครั้งขึ้นจากผลจากการลด cooldown
- คุณอาจจะออก Harkon's Blade, Frostburn, Wingbow, Savage Mace, Riftshards เพื่อสร้าง DPS จากการโจมตีให้เป็นอนันต์
- คุณอาจจะออก Null Stone เพื่อไม่ให้ใครสามารถหยุดคุณได้
- คุณอาจจะออกอะไรก็ได้ เพราะทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับคุณ!
________________________________________________________________________________________
Fayde Tips
- หากมีศัตรูมากกว่า 1 ตัวในการปะทะ ให้คุณพยายามใช้สกิล Cull(สกิล 1) และสกิล Burning Shadows(สกิล 2) ให้โดนศัตรูให้ได้มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีในแง่ของการสร้างความเสียหายแล้ว การใช้สกิล 1 โดนศัตรูเป็นจำนวนมากยังเป็นการลดความสามารถของศัตรูจากผลของการ burn มานา และมันยังทำให้คุณดูดมานาของศัตรูมาได้มากขึ้นด้วย(ที่สกิลเลเวล 4 สามารถ burn มานาของศัตรูแต่ละตัวได้มากถึง 28% จากมานาสูงสุด และนำครึ่งนึงของมานาที่คุณ burn ได้ทั้งหมดนั้นมาเพิ่มให้กับตัวเอง เช่นถ้าคุณ burn มานาของศัตรูได้ทั้งหมด 300 หน่วย คุณก็จะฟื้นฟูมานาได้ 150 หน่วย เป็นต้น)
- จากความสามารถของสกิล 1 ในข้อข้างบน สกิลนี้จึงเป็นสกิลดับอนาคตของเหล่าฮีโร่ caster(ฮีโร่ที่เน้นการใช้สกิลเป็นหลัก) ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพยายามใช้สกิลให้โดนฮีโร่เหล่านั้นในการปะทะด้วย
- นอกจากสกิล 2 จะสามารถ stun และทำความเสียหายแก่ศัตรูได้แล้ว หากศัตรูที่โดนสกิลนั้นมีสกิล passive ที่จะสร้าง effect/debuff ใดๆต่อผู้ที่ถูกโจมตี เช่น Magebane(มีสกิล Mana Combustion เป็นสกิล passive ซึ่งมีผล burn มานาผู้ที่ถูกโจมตี), Tremble(มีสกิล Impalers เป็นสกิล passive ซึ่งมีผล slow ผู้ที่ถูกโจมตีเป็นระยะเวลา 2 วินาที) หรือ Slither(มีสกิล Toxicity เป็นสกิล passive ซึ่งมีผลทำให้อัตราการฟื้นฟู HP ของผู้ที่ถูกโจมตีลดลงเป็นระยะเวลา 7 วินาที) ศัตรูเหล่านั้นก็จะโดนผลจากสกิล passive ของตัวเองไปด้วยในขณะที่ติด stun จากสกิล 2 ของคุณ หรือก็คือหากคุณใช้สกิล 2 โดน Magebane มันก็จะถูก burn มานาด้วยสกิล passive ของตัวเอง หากใช้โดน Tremble มันก็จะถูก slow เป็นเวลา 2 วินาทีหลังจากที่หมด stun ด้วยสกิล passive ของมันเอง หรือหากใช้โดน Slither อัตราการฟื้นฟู HP ของมันก็จะลดลงเป็นระยะเวลา 7 วินาทีจากผลของสกิล passive ของมันเอง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม effect/debuff ที่ศัตรูจะได้รับนี้จะต้องมาจากสกิล passive ของตนเองเท่านั้น ไม่รวมถึง effect/debuff ที่มาจากผลของไอเทมประเภท Attack Modifier หรือก็คือ หากศัตรูที่โดนสกิล 2 ของคุณมีไอเทม Nullfire Blade อยู่ มันก็จะไม่ถูก burn มานาจาก effect ของไอเทมนั่นเอง
โปรดอย่าทำร้ายตัวเอง ~ |
- สกิล 2 จะล็อคความเสียหายที่เกิดขึ้นไว้ตามคำอธิบายของสกิล หรือหมายถึงความเสียหายที่ศัตรูจะได้รับจากสกิลนี้จะไม่มากไปกว่าที่ได้เขียนเอาไว้ นั่นหมายถึงหากคุณมีสกิล 2 เลเวล 4 ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายทางเวทย์มนต์ได้ 280 หน่วย แม้ว่าคุณจะใช้สกิลนี้โดน Swiftblade โดยที่"ร่างเงา"ของสกิลโจมตีติด critical (จากสกิล passive ของ Swiftblade) ในขณะที่มันถูก stun ความเสียหายที่ Swiftblade ได้รับก็จะเท่ากับ 280 หน่วยอยู่ดี หรือหากคุณใช้สกิลโดน Slither แม้ว่ามันจะได้รับ debuff ลดอัตราการฟื้นฟู HP ของมันเอง แต่มันก็จะไม่ได้รับ debuff ที่ทำความเสียหายต่อเนื่องเป็นเวลา 7 วินาทีจากผลของสกิล passive ของมัน เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสกิล 2 ของคุณได้ถูกล็อคค่าเอาไว้แล้ว และศัตรูจะไม่ได้รับความเสียหายมากไปกว่านั้นด้วยผลของสกิล
- เนื่องจากสกิล 2 เป็นสกิลที่แสดงผลบนพื้นที่ คุณจึงสามารถใช้มันเพื่อ stun และสร้างความเสียหายแก่ศัตรูที่มีสถานะหายตัวที่คุณพอจะเดาตำแหน่งมันได้ และหากคุณใช้โดนศัตรูที่กำลังหายตัวอยู่ ร่างเงาที่เกิดจากผลของสกิลก็จะระบุตำแหน่งปัจจุบันของศัตรูตัวนั้นด้วย
- ในบางครั้ง เมื่อคุณใช้สกิล 2 โดนศัตรู "ร่างเงา"จากผลของสกิล 2 อาจจะบังศัตรูที่เป็นเหยื่อของคุณจนทำให้คุณไม่สามารถใช้เคอร์เซอร์ของคุณจิ้มลงไปที่ศัตรูได้(จิ้มไปก็ติดร่างเงา) ซึ่งนั่นจะทำให้คุณไม่สามารถสั่งโจมตีหรือใช้ไอเทมที่ต้องจิ้มไปที่เป้าหมาย(อย่าง Codex)ได้ และนั่นก็อาจทำให้เหยื่อของคุณหลุดรอดไปหากมันมีสกิลหายตัวหรือสกิลย้ายตำแหน่ง วิธีแก้ปัญหาคือ ให้คุณกด A แล้วจิ้มไปที่บริเวณใกล้ๆเหยื่อตัวนั้น แล้วตัวคุณจะทำการโจมตียูนิตที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ(โจมตีได้ซักทีสองทีก็ยังดีกว่ายืนรอเฉยๆ)
- นอกจากสกิล Deep Shadows(สกิล 3) จะสามารถใช้ slow ศัตรูได้ดีในการปะทะแล้ว คุณยังสามารถใช้มันเพื่อหลบหนีออกมาจากสถานการณ์ฉุกเฉินได้อีกด้วย(หากคุณอยู่ในพื้นที่การแสดงผลของสกิล ความเร็วในการเคลื่อนที่ของคุณจะเพิ่มขึ้น) และตรงจุดนี้เองทำให้คุณสามารถล่าเหยื่อได้ง่ายขึ้นหากศัตรูที่อยู่ร่วมเลนกับเหยื่อของคุณไม่มีสกิลหยุด ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณหมายตา Arachna ไว้ โดยที่ Arachna อยู่ในเลนเดียวกับ Matyr คุณก็สามารถย่องเข้าไปจัดการ Arachna ได้ด้วยคอมโบสกิลของคุณ และหลบหนีออกมาอย่างหน้าตาเฉยด้วยสกิล 3 เนื่องจาก Matyr ไม่มีสกิลที่จะสามารถหยุดคุณได้นั่นเอง
- ด้วยความสามารถในการเดินทะลุต้นไม้ในขณะที่อยู่ในผลของสกิล Reflection(สกิล ulti) มันจึงทำให้คุณปลอดภัยจาก Ward of Revelation หรือแม้แต่ Bound Eye ของศัตรูที่จะเปิดเผยสถานะหายตัวของคุณหากคุณยังอยู่ในต้นไม้ ดังนั้นเพื่อให้เป็นการเซฟตัวเอง ในระหว่างการลาดตระเวน หาเหยื่อ หรืออะไรก็ตามในระหว่างที่คุณอยู่ในผลของสกิล ulti ให้คุณอยู่ในต้นไม้เอาไว้จนกว่าจะได้จังหวะการปะทะจึงค่อยโผล่เข้ามาในพื้นที่โล่งเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งด้วยวิธีการแฝงตัวอยู่ในต้นไม้เป็นผีตานีนี้จะทำให้คุณสามารถลอบสังหารศัตรูที่มี Bound Eye ได้ด้วย(หากคุณแข็งแกร่งพอ และศัตรูไม่ใช่ตัว tank ที่ถึกเป็นวัวเป็นฟาย) โดยให้คุณหลบอยู่ในต้นไม้ รอจังหวะที่ศัตรูที่ถือ Bound Eye นั้นอยู่คนเดียวและอยู่ใกล้ต้นไม้ จากนั้นวิ่งเป้าประชิดตัวมันให้เร็วที่สุด! รีบดับชีพมันด้วยคอมโบบร๊ะเจ้า! แล้วตี Bound Eye ทิ้งซะ! หรือจะเก็บไว้เป็นของสะสมก็ได้!
คิดว่ามี Bound Eye แล้วจะต่อกรกับข้าได้รึ!? เจ้าคิดผิดแล้ว!! |
สุดยอคับ
ตอบลบสา ระ
ตอบลบ